Tuesday, June 23, 2009

23/06/09

วันนี้ไปคืนหนังสือที่คณะตอนค่ำ มันปิดสามทุ่มทุกวันอังคารเราก็ไปยืมมาเรื่อยและ วันนี้มองดูอาการตัวเอง
จากการไปคืนหนังสือแล้วเราได้ฟังคำพูดของบรรณารักษ์ เป็นคีย์เวิรดที่ไห้ความรู้สึกขุ่นเคือง
เราเกือบจะมีน้ำตา แล้วเราก็เปล่งคำว่าครับออกมาแบบเสียงสั่น จากนั้นเราครุ่นคิดที่จะแสดงท่าทางที่ดีออกมาเพื่อชนะใจตนเองแล้วก็ทำได้ นี่คือสิ่งที่เราจะต้องเจอไปเรื่อย หากเรายึดติดกับคำพูดเราจะเสียใจและมีน้ำตา และหากเราส่งคำพูดที่เราเองก็ไม่อยากไห้ใครมาพูดกับเราแบบนี้ไห้กับคนอื่น เราก็จะบาปโดยไม่รู้ตัว เค้าคงจะเจ็บฝังใจกับคำพูดของเรา คำพูดฆ่าคนได้ คำพูดสร้างประโยชน์แก่เราได้
เหตุที่บรรณารักษ์พูดกับเราแบบนั้นแท้จริงเราพูดออกไปโดยไม่ไตร่ตรอง ดว้ยท่าทีและบุคลิกของผู้พูดดูจะจริงทำไห้ท่าทีของเราเสียไป เหตุการณ์นี้สอนไห้รู้ว่าจะพูดอะไรคิดไห้ดีเสียก่อน ศึกษาคนทีเราสนทนาไห้ดีด้วย เพราะพูดไปดีหลายแต้มหากเสียก็จะเสียหลายแต้มเช่นกัน เรื่องพูดนี่ต้องระวัง ขนาดกับว่ามีในหลักธรรมสอนเลยที่เดียว เรามีหน้าที่ระวังคำพูดของเรา และระวังคำพูดของคนอื่นอย่าถือมาไว้ เพราะเราจะหนัก ไม่พอนะเจ็บใจด้วย

Wednesday, June 10, 2009

10/06/09

เมื่อวานลืมไดอารี่เพราะเมื่อวานระบบของชีวิตมันเสีย
วันมีโกกาสก็รีบไดอารี่ทันที เพิ่งมาจากหอสมุดซึ่งก่อนหน้านี้เรียนอาจารย์แม่จนห้าโมงเย็น พบว่าขณะที่เรียน
เราเขียนคำว่าcuturelle nons S เพราะประธานเป็นพหูพจน์ เป็นสิ่งที่ผิด ที่จะพูดคือ ความผิดทางไวยากรณ์นี่ เราควรจะไม่ปล่อยให้พลาดไปได้แล้ว การผิดพลาดเรื่องง่ายและไม่น่าให้อภัยเป็นเรื่องที่สิ่งที่ไม่ควรเกิดขึ้นอีกแล้ว เราจะต้องทำให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้
ประเด็นถัดมาคือ การคิดทำกิจกรรมในห้อง เรามองประสิทธิภาพต้นเองว่าน่าเป็นห่วง สมองเราไม่คิดพัฒนา ทักษะความเชื่อว่าถ้าเราได้นำความรู้วิธีคิดทั้งสิบ บวกเอาตรรกะจากหนังสือเล่มเขียวและหนังสือตรรกะของอาจารย์ จำนงค์ ทองประเสริฐ มาอ่านและนำมาใช้เชื่อว่าเราคงไม่มี สถานะการณ์แบบนี้ และจะเกิดปัญญาที่แท้คิดงานออกมาง่ายเลย ถ้าเราฝึกนั่งสมาธิ

เมื่อวานขอให้เป็นวันสุดท้ายที่จะเปิดเว็บลามก เพราะทำไห้ชีวิตเราเสียระบบ ยังไงหรือเราจะเผลอไปดูมันอย่างไม่สนใจเวลาเลย เสียเวลาไปโดยใช่เหตุอย่างที่สุด ควรจะเอาเวลาดูโทรทัศน์มานั่งฝึกสมาธิ เพราะฝึกยากที่สุด จึงต้องทุ่มเททั้งกาย เวลา ความมุ่งมั่นให้มากที่สุด ระบบชีวิตของเราจะดีขึ้นได้จากเราที่จัดการมัน จัดการแย่ไม่ใช่ใครที่ได้รับผลแต่เป็นตัวเอง มันคอยแต่จ้องจะจูงเราไม่ตามระบบไป เราต้องระบบเองเราต้องดูแลตัวเอง มิใช้ให้ใครมาดูแลเรา เราจะต้องเป็นอิสระให้ได้มากๆในเรื่องต่างๆเช่น โทรทัศน์ไม่มีก็อ่านหนังสือพิมพ์เอา ละครดูแล้วไรสาระ อ่านก็อ่านสรุปข่าวรายสัปดาห์ก็ทันโลกได้ ตอมพิวเตอร์แทนที่จะนั่งเว็บซุบซิบเราก็มานั่งบันทึกความรู้ ว่างๆก็ทำพรีเทสออนไลน์
เราจะปล่อยตัวเองว่างไม่ได้ ว่างไม่ใช่ทำอะไรที่ไมเกิดประโยชน์ต่อตัวเองและคนอื่น ต้องมีประโยชน์ด้วย

Sunday, June 7, 2009

08/o6/09

วันนี้เริ่มต้นด้วยการค้นหนังสือออกมาวางไว้เต็มห้องจะทำอะไรไม่รู้ยังคิดไม่ชัดว่าจะทำอะไร
แต่ยังไงวันนี้จะต้องเตรียมบทเรียนเยอะหน่อยก็แค่หมดเวลาไปกับมันมากหน่อย ก็เลยไม่คิดจะปล่อยให้ตัวเองหลับเดี๋ยววันนี้เริ่มเข้าสู่สภาวะปกติเสียที นี่ลืมสวดมนต์ไปตังหลายวันแล้ว ออกกำลังกายก็หายไปเป็นอาทิตย์และ ทุกอย่างที่ทำไปอาจไร้ผลหากไม่ทำเป็นประจำและเป็นแบบแผนที่กำหนดไว้ ขี้เกียจทวนเป้าหมาย แต่รู้จักเป้าหมายที่แท้จริงของการเรียนแล้ว ขอบคุณ
ป ปยุตโต ที่สอนให้รู้ว่าถ้าเรายึดหลักธรรมชาติแท้เราจะมีความสุข การเรียนเป้าหมายของมันคือรู้เข้าใจ เกิดปัญญา ทำทุกสิ่งทุกอย่างได้จากวิชาที่เรียนนั้น นำไปปรับใช้ในชีวิตประจำวันได้ ส่วนเป้าหมาซ้อนคือเกรดที่ดี ขณะที่เราเองก็ตั้งใจเรียนใส่ใจศึกษาอย่างมีความสุขสนุกกับมันเท่านี้เป้าหมายในการเรียนก็ดีกว่าไหนๆแล้ว แหมนี่ถ้ารู้เร็วกว่านี้คงจะดี แน่รู้ช้าก็ยังไม่สายใม่ใช่เหรอ

ขอบคุณตัวเองทุกวัน ชีวิตมันมีอะไรไห้ได้สังเกตุ เรียนรู้อยู่ตลอดเวลา และเมื่อใดที่พบปัญหาก็ต้องเปลี่ยนให้มันเป็นปัญญา แล้วการเรียนของเราก็จะเกิดสุข

07/06/09

ตื่นขึ้นมาแปดโมง เล่นเน็ตมะทพอะไร ฟังเพลง ถ้าการที่เรามีความสุขที่ต้องขึ้นอย
กับวัตถุแล้วละก็วันนี้ก็คงขาดอิสระไปอย่างมาก และก็ไม่มีอะไรเป
นชิ้นเป็นอัน


วันนี้ลองไม่แตะอินเตอเน็ตในห้อง
ไม่นอนบนเตียง
สวดมนต์ก่อนทุกคน
จะเป็นยังไง
หาแบบฝึกหัดใยนชีวิตมาหัดทำ เราจะได้มีความสุขง่ายขึ้น บ่อยขึ้น

Thursday, June 4, 2009

วรภัทร ภู่เจริญ

"เพราะชีวิตคนเราจะรอให้อาจารย์ตั้งโจทย์อย่างเดียวไม่ได้ ต้องหาโจทย์มาเอง คิดแล้วทำ ถ้าผิดอาจารย์จะปรับให้"


พวกคุณติดสันดานเด็กกวดวิชา รอคนคาบของทุกอย่างมาป้อนให้ คุณเคยทำตัวเป็นครูกวดวิชามอบความรู้ให้คนอื่นไหม ถ้าคุณรอและตั้งรับ คุณก็เป็นพวกอีแร้ง แต่คุณแย่กว่า คุณเป็นแค่ลูกอีแร้ง คือ รออาหารที่ป้อนให้ แล้วคุณจะไปสู้มหาอำนาจได้ยังไง


ผมสนใจทุกอย่าง ทุกเรื่อง ไม่ได้มั่ว ผมคิดว่า ท่ามกลางพายุที่สับสน ผมจับลมปราณของมันได้ ผมจับได้ทุกวิชา อย่างประวัติศาสตร์สะท้อนอารมณ์และจิตใจคนยุคนั้นๆ ผมคิดต่อว่า ทำไมเขาตัดสินทำแบบนั้น พอมาถึงยุคปัจจุบัน เหตุการณ์ใกล้เคียงกัน ก็นำมาใช้กับการวางยุทธศาสตร์ ทุกเรื่องเกี่ยวข้องกันหมด หากขึ้นไปที่ต้นแม่น้ำจะเจอเรื่องเดียวกันคือ ตาน้ำ การศึกษาก็เหมือนกัน ถ้าเรารู้จักอ่านหนังสือ ก็จะเจอแก่นของมัน จะวิพากษ์อะไรก็ได้ เพราะเราเข้าใจ


โดยสันดานแล้ว ผมสนใจทุกอย่าง ทำกับข้าวก็สนใจ อยู่อเมริกาลองไปเป็นกุ๊กร้านอาหาร ตอนนั้นผมไม่ค่อยมีเงิน และคิดว่าถ้าเราต้องทำกับข้าวกินทุกวัน จะทำอย่างไรให้อร่อย ผมก็ไปเป็นลูกมือ พัฒนาตัวเองเรื่อยๆ ตอนนั้นผมเป็นนักเคมีเทคนิค พอมาจับศาสตร์เรื่องอาหาร ก็ใช้ศิลปะมาผสมผสาน ผมได้เป็นกุ๊กร้านอาหารไทยของเพื่อน ช่วยทำกับข้าวและบริหารร้านอาหาร โหราศาสตร์ผมก็สน แต่ไม่ได้เรียนรู้เพื่อการทำนาย ผมชอบสังเกตคน ทำให้ง่ายในการบริหาร อ่านเกมขาด อย่างเจอสาวราศีกันย์ เธอชอบความมีระเบียบ ความสะอาด ผมเอาหลายๆ ศาสตร์มารวมกันแล้วบูรณาการ

พวกอเมริกันเก่งเรื่องกระบวนการคิด ทำงานเป็นทีม ทำคนเดียวไม่ได้หรอก จึงยากในการขโมยความคิด


ผมได้เรียนรู้จากนาซามาก เวลาสอนอาจารย์จะโยนหนังสือมาให้เล่มหนึ่ง อ่านภายในหนึ่งสัปดาห์ แต่เราอ่านเร็วอยู่แล้ว ที่นั่นใช้วิธีสอนเหมือนไม่สอน ซักถามและวิเคราะห์กันหนักๆ อย่างเช่น คุณเห็นใบไม้ที่โคนกิ่งไม้ ลองคำนวณว่ามีแรงกี่ปอนด์

ผมค่อนข้างจับฉ่ายแมน ชอบขับรถ เดินป่า ธรรมชาติ และศิลปะ ตอนอยู่นาซาผมเรียนวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์ จนไม่มีวิชาอะไรให้เรียนแล้ว ผมก็เลยเกิดคำถามว่า วิทยาศาสตร์เองก็มั่วเยอะ ใช้วิธีการอนุมานและตั้งสมมติฐานเยอะ ก็เลยถามตัวเองว่า ฉันกำลังทำอะไรอยู่ พอได้อ่านบทความของไอสไตน์ เขียนไว้ก่อนตายว่า ศาสนาที่เป็นวิทยาศาสตร์ที่สุดคือ พุทธะ ผมก็งง! ตอนนั้นผมยังเป็นคริสเตียน ผมต้องขอบคุณท่านอาจารย์พุทธทาส ท่านเขียนเชื่อมโยงพุทธกับคริสต์ได้ดีมาก สุดท้ายแล้วเป็นเรื่องเดียวกัน แต่วิธีการเข้าหามีหลายวิธี ไม่ต่างจากการขึ้นภูเขา พระพุทธเจ้าพูดอะไรที่เป็นวิทยาศาสตร์ ไม่งมงาย คนมาปฏิบัติธรรมทางพุทธ ถ้าขี้เกียจจะไม่ค่อยเห็นผล



คุณสังเกตผมสิ ผมคุยกับคุณ ไม่ค่อยเปลี่ยนเรื่อง คิดเรื่องเดียว อารมณ์เดียว ผมคิดเป็นระบบ พอเรียนพุทธ ยิ่งคิดเป็นระบบมากขึ้น ผมเคยบวชเป็นพระธุดงค์อยู่ 13 วัน ผมขยันสุดๆ ผมคิดว่าถ้าคนคิดไม่เป็น จะคิดวนเวียน ย้ำคิด ย้ำทำ คิดไม่ตกเป็นเดือน แต่ผมตัดสินใจแล้ว ทำได้เลย ตัดอารมณ์ออกไป ไม่ต้องมานั่งทะเลาะกับใครว่า ทำไมเราเลือกแบบนี้ ไม่สับสน ผมปรึกษาหลายคนเหมือนทำวิจัยให้ตัวเอง ทำเป็นตารางการตัดสินใจ


ศาสนาพุทธเหมือนโลกกลม นักวิทยาศาสตร์เป็นพวกโลกแบน แล้วไม่ยอมเดินเรือออกไปที่ขอบจักรวาล เ มื่อผมอยากรู้จักพุทธ ก็ต้องศึกษาและปฏิบัติ แรกๆ ก็เชื่อเขาไปก่อน โยนความคิดทิ้งไปก่อน ถ้าพลาดก็ว่ากันใหม่ เวลาหลวงปู่หลวงพ่อสั่งให้ทำ ก็ทำเต็มที่ สุดท้ายพบว่า กายกับจิตคนละตัวกัน อย่าไปหลงกาย กายคือรถผจญภัย ผมก็ทำงานเต็มที่สร้างสมดุลทางโลกกับทางธรรม ถ้ารักษาจิตให้ว่าง ถ้าทำจิตให้เป็นศูนย์หรือว่างก็คือ นิพพาน




งาน หากเวลาทำงานเกิดเบื่อ ก็ให้รู้เท่าทัน แล้วทำงานต่อ ผมสอนเรื่องการเดินจิต ปฏิบัติธรรมด้วย พอสอนเสร็จก็พาไปเดินในป่าช้าที่ขอนแก่น เรื่องศาสนาผมให้เวลาเต็มที่ บางทีก็สอนปฏิบัติที่บ้าน ถ้ามีเวลาว่าง ก็จะพาไปวัด ก่อนอื่นต้องสอนตัวเองและคนรอบข้างให้ได้ก่อน ผมคิดว่า คนไทยฝึกเรื่องใจน้อยไป ตามใจลูกมากไป เด็กไม่เคยถูกสอนให้ควบคุมใจ กลายเป็นว่า ทุกคนอยู่อำเภอที่ไม่น่าอยู่คือ อำเภอใจ ไม่รู้จักควบคุมตัวเอง และแยกไม่ออกว่า ใจเป็นกุศลกับอกุศลต่างกันอย่างไร